สหภาพครูแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Teachers’ Union - JTU) ได้จัดประชุมหารือร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการศึกษา เพื่อประเมินสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงจากผลสำรวจ TALIS 2024 ซึ่งเผยว่าครูในประเทศกำลังเผชิญกับสภาพการทำงานที่ยากลำบาก โดยเฉพาะ ภาระงานที่หนักเกินไป ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตขาดแคลนครูในญี่ปุ่น เลขาธิการใหญ่ขององค์กร Education International ระบุว่า ครูต้องการเวลา เครื่องมือ และความเชื่อมั่น เพื่อให้สามารถทำหน้าที่เพื่อเด็ก ๆ ในประเทศญี่ปุ่นได้อย่างเต็มที่
ผลสำรวจ TALIS 2024 ชี้ว่า ครูญี่ปุ่นทำงานเกิน 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าสูงกว่าครูในประเทศอื่น ๆ ที่เป็นสมาชิกขององค์กร OECD โดยแหล่งที่มาของความเครียดส่วนใหญ่มาจากภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอน เช่น งานธุรการที่มากเกินไป (ร้อยละ 63) การจัดการข้อกังวลจากผู้ปกครอง (ร้อยละ 56) และการปรับตัวให้ทันกับข้อกำหนดที่เปลี่ยนแปลงจากทางการ (ร้อยละ 43)
ในแง่ของความพึงพอใจในงาน พบว่า มีเพียงร้อยละ 79 ของครูญี่ปุ่นที่พึงพอใจในงานโดยรวม ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD ที่ร้อยละ 89 นอกจากนี้ ความพึงพอใจในเรื่อง เงินเดือน และ เงื่อนไขการจ้างงาน ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ ร้อยละ 20 ของครูอายุต่ำกว่า 30 ปี ตั้งใจจะลาออกจากอาชีพภายในห้าปีข้างหน้า พร้อมกับจำนวนการลาป่วยด้วยปัญหาสุขภาพจิตที่สูงเป็นประวัติการณ์ ประธานสหภาพครูฯ จึงเน้นย้ำว่า โรงเรียนในปัจจุบันเป็นระบบที่ไม่ยั่งยืน
สหภาพฯ ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้ดำเนินการทันที ได้แก่ การลดภาระงาน การเพิ่มจำนวนพนักงาน และการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนพิเศษ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ เพิ่มงบประมาณการศึกษาของรัฐ ผ่านแคมเปญ "Go Public! Fund Education" โดยปัจจุบันญี่ปุ่นจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาน้อยกว่าร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งยังห่างไกลจากมาตรฐานสากลที่แนะนำที่ร้อยละ 6 สหภาพฯ เน้นย้ำว่า ครูต้องการสภาพการทำงานที่ดี เพื่อให้สามารถรับประกันคุณภาพการศึกษา และจะมุ่งมั่นขยายอิทธิพลทางการเมืองของสหภาพแรงงานเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้
